ตรวจสอบแบล็คลิสต์ได้ที่ไหน

ตรวจสอบแบล็คลิสต์ได้ที่ไหน?

ตรวจสอบแบล็คลิสต์ได้ที่ไหน


   ตรวจสอบแบล็คลิสต์ได้ที่ไหน?
   ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนบทความการตรวจสอบเครดิตบูโร  แต่เรื่องของเรื่องคือ ผมคงจะตั้งหัวข้อเรื่องไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่อยากรู้ นั่นคือ...ตัวเองติดแบล็คลิสต์หรือป่าว....เครดิตบูโร กับ แบล็คลิสต์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร เครดิตบูโร คือ ใบรายงานประวัติทางการเงินของเราเอง มีหนี้ที่ไหน หนี้กับใคร หนี้จำนวนเท่าไหร่ เป็นหนี้ตั้งแต่วันไหน เดือนไหนจ่าย เดือนไหนไม่จ่าย มีบอกหมด นั่นคือ เครดิตบูโร  ส่วนแบล็คลิสต์ คือรายงานบุคคลที่มีประวัติเสียในเรื่องการเงินจนถูกขึ้นบัญชีแบล็คลิสต์ไว้ ซึ่งหมายถึงไม่สามารถขอสินเชื่อใดๆได้อีก แต่ถ้าใครไม่อยากให้ตนเองมีประวัติเสียทางการเงินจนถึงขึ้นต้องติดแบล็คลิสต์ ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเทคนิคการชำหนี้ไม่ให้จนถึงขั้นตัวเองต้องติดแบล็คลิสต์ไว้ เป็นเทคนิคที่ผุ้คนส่วนใหญ่คงไม่รู้กัน สำหรับคนที่สนใจอยากรู้คงจะต้องหาอ่านจากเมนูครับ เพราะผมเองก็จำไม่ได้....นอกเรื่องนานล่ะ เข้าเรื่องเลย จะตรวจสอบแบล็คลิสต์ได้จากที่ไหน....ก่อนอื่นผมว่าดูที่ตัวเราเอง ไม่มีหนี้ ไม่ติดแน่นอน...มีหนี้จ่ายตรง....ไม่ติดแน่นอน....มีหนี้จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง....อันนี้ไม่แน่ใจ....มีหนี้หนีหนี้ไม่จ่าย...ติดแบล็คลิสต์ล้านเปอร์เซ็นต์...แต่ว่าทุกกรณีที่กล่าวมาหากว่าเราต้องการจะตรวจสอบก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ ก็เลือกเอาตามสะดวกของแต่ละคนได้เลยครับ
   1.ตรวจสอบแบล็คลิสต์ด้วยตนเอง ณ ที่ทำการบริํษัท : ศูนย์บริการตรวจสอบเครดิตแบล็คลิสต์/ตรวจสอบเครดิตบูโร  สำหรับรายละเอียดคลิ็กอ่านจากลิงค์ได้เลยครับ....ตรวจสอบแบล็คลิสต์ 1
   2.ตรวจสอบแบล็คลิสต์ผ่าน Internet Banking และตู้ ATM  โดยตรวจสอบแบล็คลิสต์ผ่าน Internet Banking ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา , สำหรับตู้เอทีเอ็มใช้ได้กับ  ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับรายละเอียดคลิ็กอ่านจากลิงค์ได้เลยครับ....ตรวจสอบแบล็คลิสต์ 2
   3.ตรวจสอบแบล็คลิสต์ผ่านทาง เคาน์เตอร์์ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ธนาคารธนชาต (TBANK),บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB), บมจ.ธนาคารไอซีบีซีที (ICBCT) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB) สำหรับรายละเอียดคลิ็กอ่านจากลิงค์ได้เลยครับ....ตรวจสอบแบล็คลิสต์ 3

สำหรับหลักฐานที่ใช้ในการตรวจสอบแบล็คลิสต์ มีดังนี้
กรณีบุคคลธรรมดา
     กรอกแบบคำขอ และยื่นแบบฟอร์มพร้อมหลักฐานอันประกอบไปด้วย บัตรประชาชนพร้อมสำเนา, สำเนาทะเบียนบ้าน (เอกสารทุกชิ้นจะต้องเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย) และหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ (ถ้ามี) ชำระค่าบริการ 100 บาท รอรับใบรายงานได้เลยภายในวันที่ยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งมาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็สามารถทำได้
กรณีนิติบุคคล
      กรอกแบบคำขอ และยื่นแบบฟอร์มพร้อมหลักฐานอันประกอบไปด้วย สำเนารับรองนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 6 เดือน, สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจในกรณีที่กรรมการผู้มีอำนาจมารับด้วย ตนเอง หรือถ้ามอบหมายอำนาจให้ผู้อื่นมารับเอกสารแทนจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจอย่าง ถูกต้องพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจเข้ามาเพิ่มด้วย (เอกสารทุกชิ้นจะต้องเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย) ชำระค่าบริการ 100 บาท รอรับใบรายงานได้เลยภายในวันที่ยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งมาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็สามารถทำได้

...........หวังว่าคงกระจ่างขึ้นมาบ้างนะครับ สำหรับผุ้ที่ต้องการตรวจสอบว่าตนเองติดแบล็คลิสต์หรือป่าว.....แบล็คลิสต์และเครดิตบูโรบล็อก

เปิดเผยวิธีทวงหนี้จากลูกหนี้ของผู้มีอาชีพรับทวงหนี้ต่างๆ

เปิดเผยวิธีทวงหนี้จากลูกหนี้ของผู้มีอาชีพรับทวงหนี้ต่างๆ
วิธีทวงหนี้จากลูกหนี้
         เปิดเผยวิธีทวงหนี้จากลูกหนี้ของผู้มีอาชีพรับทวงหนี้ต่างๆ
         จากบทความก่อนหน้านี้ที่ได้เกริ่นไว้แล้ว เทคนิคและแนวทางรับมือการทวงหนี้ (ถูกกฏหมายและใช้ได้จริง) ซึ่งก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะใช้ได้จริงๆ บทความฉบับนี้จะขอบอกเล่าถึง วิธีการทวงหนี้จากเจ้าหนี้ ว่า ในปัจจุบันนี้ เจ้าหนี้ทั้งหลาย เขาใช้วิธีการอะไรบ้าง ทวงหนี้จากลูกหนี้ มันถูกกฏหมายหรือป่าว แล้วถ้าลูกหนี้เป็นเรา เราจะทำอย่างไร จะใช้วิธีการแบบไหนเข้าต่อสู้ โดยที่ตัวลูกเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ มาดูรายละเอียดกันดีกว่าครับ สำหรับวิธีทวงหนี้แบบเลวๆ ที่สำนักงานทวงหนี้มักใช้กัน เป็นเทคนิคที่ชอบอ้างถึงกฎหมายที่ลูกหนี้ส่วนมากไม่มีความรู้ จึงเปิดโอกาสให้นักทวงหนี้ดำเนินการไปตามเกมส์ของเขาซึ่งมีหลายวิธีดังนี้
          - ส่งจดหมายทวงหนี้  : เป็นจดหมายที่ส่งมาทวงหนี้ในลักษณะข่มขู่ จะมีข้อความที่ประทับตรายางสีแดงเช่น “อนุมัติฟ้องภายใน 24 ช.ม.” , “ด่วน อนุมัติฟ้อง” , “เตือนให้ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย” , “ด่วน นำพนักงานสืบทรัพย์ตรวจสอบตามภูมิลำเนา”...คำขู่พวกนี้หากลูกหนี้ที่รู้เท่าทันก็ไม่ต้องตกใจ เพราะถ้ามีการฟ้องศาลจริงจะต้องมีหมายเลขคดีดำและหมายศาลจะส่งไปยังที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น จดหมายทวงหนี้ในลักษณะนี้ส่งมาเพื่อเตือนให้รีบไปชำระหนี้เท่านั้น แต่ในส่วนของลูกหนี้ให้คิดเสียว่า ถ้าเจ้าหนี้อยากจะฟ้องก็เชิญฟ้องไปเลย เพราะในความเป็นจริง กว่าจะส่งเรื่องฟ้องศาล เจ้าหนี้ต้องใช้เวลาในการทวงหนี้นานเป็นปี ดังนั้นในระหว่างนี้ ลูกหนี้จะได้รับจดหมายทวงหนี้ในลักษณะเช่นนี้ ทุกวัน , ทุกสัปดาห์ , ทุกเดือนเรื่อยไปจนกว่าจะครบปี จนเกิดความสงสัยขึ้นว่า...“เมื่อไหร่มันจะฟ้องตรูจริงๆซะทีวะ?
          - เจ้าหนี้แจ้งว่าจะยึดทรัพย์ : ซึ่งเป็นการข่มขู่ที่ผิดกฎหมาย การที่เจ้าหนี้จะยึดทรัพย์ลูกหนี้ได้นั้น จะต้องมีการฟ้องศาลดำเนินคดีทางแพ่งเสียก่อน การยึดทรัพย์ต้องใช้คำสั่งศาลจึงจะดำเนินการยึดทรัพย์ได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆตามอำเภอใจ
          - เจ้าหนี้แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มาทวงเงินที่ทำงานของลูกหนี้ พูดง่ายๆก็คือ ตามทวงหนี้ถึงที่ทำงานกันเลยทีเดียว กรณีนี้ถ้าลูกหนี้ไม่อนุญาตให้เข้าพบ หากพนักงานทวงหนี้ยัง"หน้าด้าน"ฝ่าฝืน...มีสิทธิ์เจอข้อหาบุกรุกได้เลย
          นอกจากนี้ เจ้าหนี้ยังมีการข่มขู่อีกหลายเรื่องที่เคยทำกันมาแล้วได้ผลเช่น ขู่ว่าจะอายัดเงินเดือน ทั้งๆที่ยังไม่ได้ส่งเรื่องฟ้องศาลเลย เจ้าหนี้จึงไม่สามารถอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ เพราะการอายัดเงินเดือนต้องมีคำสั่งศาล และการอายัดเงินเดือนทำได้เต็มที่ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนลูกหนี้ และถ้ามีเจ้าหนี้อยู่หลายราย ก็ต้องแบ่งสรรปันส่วนกันไปภายใน 30 เปอร์เซ็นต์นั้นๆ...หรือเจ้าหนี้อาจต้อง"เข้าแถว"รอคิวการอายัดเงินเดือนต่อๆกันไป (ใครฟ้องก่อน ก็อายัดได้ก่อนเป็นคิวแรก ใครฟ้องช้า/ฟ้องทีหลัง ก็ต้องมานั่งเข้าแถวรออายัดเป็นคิวถัดไป) เกณฑ์การยึด-อายัดทรัพย์-อายัดเงินเดือน  เจ้าหนี้มีสิทธิ์ในการทวงหนี้ได้ แต่ต้องปฏิบัติตัวให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และทำการทวงหนี้อย่างเหมาะสม โดยไม่เป็นการรบกวนการทำงานหรือการดำเนินชีวิตประจำวันของลูกหนี้จนเกินพอดี เจ้าหนี้ต้องมีการแสดงตัว แจ้งชื่อ-นามสกุล สำนักงานที่สังกัด ไม่คุกคามลูกหนี้เช่น ประจานหรือข่มขู่ และที่สำคัญต้องไม่เปิดเผยความลับของลูกหนี้แก่บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
           จะเห็นได้ว่าการติดตามทวงหนี้ของเจ้าหนี้ในปัจจุบันที่ทำกัน มักออกมาในลักษณะของการข่มขู่ในเรื่องต่างๆ ที่ถือว่าผิดกฎหมาย จนในระยะหลังมานี้ ลูกหนี้เริ่มรู้เท่าทันเจ้าหนี้จึงได้มีการฟ้องร้องกลับ จนเจ้าหนี้เป็นฝ่ายแพ้คดีไปก็มีจำนวนไม่น้อย หากลูกหนี้มีข้อสงสัยในการทวงหนี้ของเจ้าหนี้ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องหลักเกณฑ์ในการติดตามทวงถามหนี้ ที่ออกมาเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการถูกข่มขู่ของลูกหนี้   ถึงแม้ลูกหนี้จะรู้เท่าทันเจ้าหนี้และสามารถรับมือกับการทวงหนี้แบบโหดจากเจ้าหนี้ได้แล้วก็ตาม...แต่การแก้ไขปัญหาหนี้สินที่ดีที่สุดคือ “มีหนี้ ก็ต้องใช้หนี้” ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะใช้หนี้ได้ จงอย่ารอช้า...ให้รีบหาทางเคลียร์หนี้สินให้จบ แล้วอย่าก่อหนี้สินขึ้นมาอีก  นั่นแหละคือคำตอบสุดท้าย

เทคนิคและแนวทางรับมือการทวงหนี้ (ถูกกฏหมายและใช้ได้จริง)

เทคนิคและแนวทางรับมือการทวงหนี้

เทคนิคและแนวทางรับมือการทวงหนี้

      เทคนิคและแนวทางรับมือการทวงหนี้
     เป็นข่าวกันอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับการทวงหนี้โหด ส่วนใหญ่ที่โดนก็จะเป็นแม่ค้า สาเหตุก็คงจะมาจากดอกเบี้ยรายวันนั่นเอง ซึ่งถือว่าสูงเอามากๆ ....แล้วใครจะมีปัญญาจ่ายดอกไหม...จริงไหม วันนี้ แบล็คลิสต์และเครดิตบูโรบล็อก ของเราจึงมีวิธีรับมือการทวงหนี้จากเจ้าหนี้มาฝากกัน อย่างไรก็ตามบล็อกของเราไม่มีนโยบายจะให้ลูกหนี้ หนีหนี้ หรือไม่ยอมจ่ายหนี้แต่ประการใด  แต่ให้นำไปใช้ในกรณีที่ลูกหนี้ ถูกเจ้าหนี้ซึ่งส่งพวกทวงหนี้มาใช้วิธีการทวงหนี้แบบผิดกฎหมาย ขอเน้นนะครับ ทวงหนี้แบบผิดกฏหมาย เช่น อ้างกฎหมายมาข่มขู่ รบกวนเวลาทำงาน ทำให้เสียชื่อเสียง...ฯลฯ เพือเป็นการปกป้องตัวลูกหนี้เองให้รอดพ้นจากการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น ลูกหนี้จึงจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินบ้าง แต่ไม่ถึงกับต้องท่องจำกฎหมายหนี้สินมาตราต่างๆได้ เอาแค่ให้รู้ว่าการทวงหนี้ในลักษณะใดบ้าง ที่เข้าข่ายการทวงหนี้ผิดกฎหมาย เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับเหล่านักทวงหนี้ได้อย่างเหมาะสมในทำนอง “รู้เขา-รู้เรา” จะได้ไม่ตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบเจ้าหนี้และปกป้องรักษาสิทธิ์ของลูกหนี้ไว้  ที่พอจะคิดออกมีดังนี้ต่อไปนี้
       1.สอบถามข้อมูลผุ้ที่จะมาทวงหนี้กับเรา  ก่อนจะคุยกับผู้ทวงหนี้ ให้ลูกหนี้เป็นฝ่ายรุกก่อนเลยโดยการสอบถาม ชื่อ-นามสกุลจริง ของคนที่มาทวงหนี้ก่อน และที่สำคัญต้องขอเบอร์โทรศัพท์สำนักงาน(ไม่ใช่เบอร์มือถือ)ที่เขาทำงานอยู่ รวมถึงชื่อสำนักงานของนักทวงหนี้เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยให้ลูกหนี้เป็นฝ่ายรุกมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ ส่วนมากการคุยกันระหว่างลูกหนี้กับนักทวงหนี้มักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง และมักจะมีปัญหาเรื่องการมีปากเสียงหรือจบลงด้วยการทะเลาะกัน อาจมีการใช้ถ้อยคำรุนแรงที่ฝ่ายนักทวงหนี้หลุดได้บ่อยๆ ดังนั้นการสอบถามข้อมูลจริงๆจากนักทวงหนี้ จึงมีโอกาสสูงที่ผู้ทวงหนี้จะไม่บอกความจริง เพราะมันก็กลัวความผิดทางกฎหมายเหมือนกัน เพราะถ้ามันเผลอข่มขู่หรือใช้ถ้อยคำรุนแรงกับลูกหนี้ ซึ่งลูกหนี้อาจรับมือหรือตอบโต้กับนักทวงหนี้ได้ โดยการติดตามเอาเรื่องจนถึงสำนักงานของนักทวงหนี้เลยก็ได้ นอกจาก

วิธีคำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้สินทางการเงิน

 วิธีคำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้สินทางการเงิน
 วิธีคำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้สินทางการเงิน


     วิธีคำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้สินทางการเงิน
     มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งกล่าวว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" ในทีนี้เราไม่ได้ไปทำการรบ แต่ผมอยากให้มองภาพถึงการไปขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่างๆ ว่า ทางธนาคาร หรือสถาบันการเงิน มีกลักเกณฑ์คำนวณคร่าวๆ อย่างไรบ้าง เงินเดือนเท่ากัน แต่ทำไมเพื่อนได้ยอดวงเงินสูงกว่า เอ๊ะคนนี้ทำไมรายได้น้อยกว่าเรา แต่ยอดเงินสูงกว่าเรา....สิ่งเหล่านี้ หากเรารู้ว่าทางธนาคารมีวิธีคิดให้เราอย่างไร...ผมว่ามันคงมีประโยชน์สำหรับเราไม่น้อย....ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมขอพูดไปในระดับผู้ทำธุรกิจรายใหญ่เลย เพื่อให้เห็นภาพ ในการปล่อยกู้ การพิจารณาเงินกู้ โดยในการทำธุรกิจผู้ประกอบการมิอาจจะเป็นผู้ที่คอยรับผลประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวได้เสมอไป เพราะระบบธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้ใช้ระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบมือต่อมือเหมือนในอดีต เนื่องจากเรากำลังอยู่ในยุคของเศรษฐกิจทุนนิยมที่ผู้ถือเงินสดในมือคือผู้กำหนดแนวทางการทำธุรกิจของอนาคตไว้นั่นเอง  ด้วยเหตุนี้ระบบการเงินจึงวิวัฒนาการไปสู่ความซับซ้อนมากขึ้น และภาระผูกพันทางการเงินจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ดอกเบี้ยจากเงินที่กู้ยืมมาลงทุน การชำระคืนเงินต้น เงินปันผลให้กับลูกค้า ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นหนี้สินที่ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้ การคำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้สินหรือที่เรียกว่า Fixed Charge Coverage Ratio จึงเป็นตัวช่วยที่จะบอกให้ผู้ประกอบการได้ทราบว่าธุรกิจของตนเองมีความสามารถในการชำระหนี้สินทางการเงินได้มากขนาดไหน ซึ่งการคำนวณก็มีวิธีดังต่อไปนี้
       ก่อนอื่นผู้ประกอบการจะต้องหาข้อมูลในตัวแปรทั้ง 5 อย่างนี้ก่อน นั่นคือ
          1.กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี
          2.ดอกเบี้ยเงินกู้
          3.เงินต้นที่ยืมมา
          4.เงินปันผล
          5.อัตราภาษีเงินได้
       เมื่อได้ข้อมูลทั้ง 5 มาแล้วก็มาถึงในส่วนของวิธีทำ โดยผู้ประกอบการจะต้องนำกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเป็นตัวตั้งแล้วจึงนำมาหารด้วยส่วนที่สองนั่นก็คือดอกเบี้ยบวกเงินต้นบวกเงินปันผลที่หารด้วยในวงเล็บหนึ่งลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ ซึ่งหลักสมการของวิธีการนี้จะมีรูปแบบดังต่อไปนี้

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นจะวิเคราะห์ได้ 3 กรณี คือ  

ติดแบล็คลิสต์หรือป่าว..จะตรวจสอบได้อย่างไร (สรุปมาให้อ่านอีกรอบ)

ติดแบล็คลิสต์หรือป่าว..จะตรวจสอบได้อย่างไร (สรุปมาให้อ่านอีกรอบ)

ติดแบล็คลิสต์หรือป่าว..จะตรวจสอบได้อย่างไร (สรุปมาให้อ่านอีกรอบ)


ติดแบล็คลิสต์หรือป่าว..จะตรวจสอบได้อย่างไร (สรุปมาให้อ่านอีกรอบ)
        ปัจจุบันการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินก่อนจะเริ่มลงมือทำธุรกิจถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนจะต้องเอาใจใส่และให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจาก เครดิต และสถานภาพทางการเงินของผู้ประกอบการนั้นสามารถนำไปใช้ต่อยอดในทางธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอกู้เงิน หรือ ขอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ใช้เป็นหลักค้ำประกันธุรกิจ หรือแม้แต่เพื่อเป็นการแสดงสภาพคล่องให้ลูกค้าได้รับทราบ ซึ่งข้อมูลต่างๆที่ผู้ประกอบการต้องการทราบนั้นล้วนมีบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของ"บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ" ทั้งหมด
       "บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ" หรือ "เครดิตบูโร" มีหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านทางบริการของธนาคารต่างๆไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตรเครดิต การผ่อนชำระสินเชื่อ การผ่อนบ้านและรถยนต์ ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการผ่อนชำระทั้งในส่วนของ บัตรเครดิต และ สินเชื่อต่างๆ ไว้อย่างละเอียด โดยหากเป็นบุคคลธรรมดาจะมีบันทึกไว้ไม่เกิน 3 ปี และ 5 ปีสำหรับนิติบุคคล ซึ่งนั่นหมายความว่าหากผู้ประกอบการเคยมีความผิดพลาดในเรื่องการค้างชำระหรือแม้แต่ผ่อนช้าในอดีตรับรองว่าชื่อของผู้ประกอบการจะต้องไปปรากฏเป็นแบล็คลิสต์อยู่ในเครดิตบูโรอย่างแน่นอน
หากมีรายชื่อปรากฎอยู่ในแบล็คลิสต์จริงชีวิตการทำธุรกิจของท่านจะต้องตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็นแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการทุกคนจึงสมควรที่จะต้องตรวจสอบสถานะทางการเงินและเครดิตของตนกับทางเครดิตบูโรให้แน่ใจก่อนทุกๆครั้งเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการติดแบล็คลิสต์อย่างไม่รู้สาเหตุ หรือถ้าหากมีชื่อติดอยู่ในบัญชีแบล็คลิสต์ริงจะได้รีบติดต่อเพื่อขอเข้าชำระเงินที่ติดค้างอยู่ในอดีตให้หมดไปเพื่อเป็นการเคลียร์แบล็คลิสต์ และประวัติทางการเงินให้ขาวสะอาดที่สุด ซึ่งวิธีการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของตนเองผ่านเครดิตบูโร ผู้ประกอบการจะต้องไปขอยื่นเรื่องด้วยตนเองที่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค ชั้น 10 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์(สำนักงานใหญ่) เลขที่ 63 ถนนพระรามเก้า เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320 โทรศัพท์ 02-643-1250 ซึ่งมีวิธีปฏิบัติที่สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา
     กรอกแบบคำขอ และยื่นแบบฟอร์มพร้อมหลักฐานอันประกอบไปด้วย บัตรประชาชนพร้อมสำเนา, สำเนาทะเบียนบ้าน (เอกสารทุกชิ้นจะต้องเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย) และหลักฐานการเปลี่ยนแปลงชื่อ (ถ้ามี) ชำระค่าบริการ 100 บาท รอรับใบรายงานได้เลยภายในวันที่ยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งมาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็สามารถทำได้

กรณีนิติบุคคล
      กรอกแบบคำขอ และยื่นแบบฟอร์มพร้อมหลักฐานอันประกอบไปด้วย สำเนารับรองนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 6 เดือน, สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจในกรณีที่กรรมการผู้มีอำนาจมารับด้วยตนเอง หรือถ้ามอบหมายอำนาจให้ผู้อื่นมารับเอกสารแทนจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจอย่างถูกต้องพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจเข้ามาเพิ่มด้วย (เอกสารทุกชิ้นจะต้องเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องด้วย) ชำระค่าบริการ 100 บาท รอรับใบรายงานได้เลยภายในวันที่ยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งมาทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็สามารถทำได้

     เรื่องของเครดิตและความน่าเชื่อถือทางการเงินนั้นจัดเป็นพื้นฐานความเชื่อมั่นอันดับแรกๆที่ลูกค้าทุกคนมักจะสนใจและเรียกร้องในส่วนนี้มากเป็นพิเศษจากคู่ค้าทางธุรกิจของตน ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองและธุรกิจมีประวัติที่ด่างพร้อยและย่ำแย่ทางการเงินเกิดขึ้นเป็นอันขาด เพราะหากเกิดขึ้นแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จะเอานำชื่อออกมาจากบัญชีแบล็คลิสต์ซึ่งอย่างน้อยจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ปีเป็นอย่างต่ำ ซึ่งธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้น ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องบริหารการเงินทั้งของตนและของบริษัทอย่างดีที่สุดเพื่อเป็นรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงในทางที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการทำธุรกิจของคุณในอนาคตด้วย

เมื่อศาลตัดสินบังคับคดีจนถึงอายัดเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินเดือนให้อายัดล่ะ จะเป็นอย่างไร

        เมื่อศาลตัดสินบังคับคดีจนถึงอายัดเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินเดือนให้อายัดล่ะ จะเป็นอย่างไร????
อายัดเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ติดแบล็คลิสต์
 
เมื่อศาลตัดสินบังคับคดีจนถึงอายัดเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินเดือนให้อายัดล่ะ จะเป็นอย่างไร????
      เมื่อเป็นหนี้แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าท่านถูกหมายหัวว่า "ติดแบล็คลิสต์" ไปเรียบร้อยแล้ว มีการหยุดจ่าย หนีหนี้ ประนอมหนี้ไม่ไหว ทีนี้ก็เข้าสู่กระบวนการของศาล มีการฟ้องร้อง และศาลตัดสินไปตามกระบวนการที่เราๆ ท่านๆ ไม่ค่อยจะรู้ภาษากฏหมายกัน ซึ่งบทสรุปก็คงจะต้องใช้หนี้อยู่ดี แต่ถ้าหากลูกหนี้ หรือจำเลย เมื่อถูกศาลพิพากษาให้ชดใช้หนี้ตามหมายฟ้องแล้ว ลูกหนี้หรือจำเลย ไม่ยอมใช้หนี้ตามคำสั่งของศาล ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่ทางเจ้าหนี้ จะต้องส่งเรื่องให้ "กรมบังคับคดี" ทำการ อายัดเงินเดือน หรืออายัดทรัพย์สินต่อไป แล้วถ้า ลูกหนี้หรือจำเลย ไม่มีทรัพย์สินใดๆให้อายัดหรือยึด ทางเจ้าหนี้และกรมบังคับคดี ก็จะเหลือเพียงแค่ช่องทางเดียวเท่านั้น ก็คือการ "อายัดเงินเดือน" ของลูกหนี้ แต่การที่จะอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ ลูกหนี้จะต้องมีเงินเดือนเกินกว่า 10,000.-บาท ขึ้นไปเท่านั้น...จึงจะอายัดได้...และจะอายัดได้ไม่เกิน 30% จากเงินเดือนของลูกหนี้ด้วย...โดยไม่สนว่าลูกหนี้จะมีเจ้าหนี้กี่ราย   เพราะกฏหมายเขาเขียนคุ้มครองเอาไว้อย่างนั้น...เช่น...ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือน 30,000.-บาท เจ้าหนี้ก็จะอายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้ประมาณ 9,000.-บาท (คำนวนจาก 30% ของเงินเดือนที่ 30,000-บาท)...แต่ถ้าลูกหนี้มีเงินเดือนแค่ 10,200.-บาท เจ้าหนี้ก็จะอายัดเงินเดือนได้แค่ 200.-บาท เท่านั้น จะมาอายัดเงินเดือน 30% จากเงินเดือนที่จำนวน 10,200.-บาท ไม่ได้ (เพราะกฏหมายเขาเขียนกำหนดให้ลูกหนี้ผู้ที่ถูกอายัดเงินเดือน จะต้องมีเงินเดือนเหลือเอาไว้สำหรับ กิน , ใช้จ่าย , ยังชีพ...ที่ขั้นต่ำ 10,000-บาท)
        แต่ถ้าลูกหนี้ "ตกงาน" หรือไม่ได้ทำงานตามบริษัทต่างๆ...กล่าวคือ...ไม่ได้มีรายได้ประจำเป็นเงินเดือนที่แน่นอน และไม่มีการนำเงินส่งภาษีและประกันสังคม...อาทิเช่น...ขับรถ Taxi , ขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างตามวิน , ขายก๋วยเตี๋ยว , ขายกาแฟ , ขายข้าวแกง , ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด , ทำงานฟรีแลนซ์ , ขายของตาม Internet ฯลฯ...อย่างนี้เป็นต้น ก็จะเปรียบเสมือนกับบุคคลที่"ตกงาน"หรือ"ว่างงาน" ตามการเรียกเก็บภาษีและรายได้ของรัฐ...ซึ่งก็หมายความว่า ตามอายัดเงินเดือนไม่ได้ เพราะรายได้ต่างๆที่ได้มานั้น...ไม่ถูกจัดว่าเป็น"เงินเดือน"
        เมื่ออายัดทรัพย์สินก็ไม่ได้...อายัดเงินเดือนก็ไม่ได้ หนี้ต่างๆ ของลูกหนี้หรือจำเลยที่ถูกศาลพิพากษา ก็จะถูกแขวนลอยเอาไว้เฉยๆ (หรือที่เรียกว่าถูก"แขวนหนี้")...และถ้าหากระยะเวลาในการ"แขวนหนี้" ผ่านพ้น10 ปีไปแล้ว หนี้ตัวนี้ก็จะ"หมดอายุความ"ในการอายัดจากทางเจ้าหนี้
         ซึ่งระหว่างใน 10 ปี ที่หนี้ดังกล่าว ถูกแขวนลอยเอาไว้เฉยๆอยู่อย่างนี้ ทางเจ้าหนี้ก็จะพยายามสืบทรัพย์ให้ได้ว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินเก็บหรือซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหนบ้างหรือปล่าว? หรือไปเปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ไหนบ้าง?...ถ้าสืบเจอ ก็ไปแจ้งต่อกรมบังคับคดีให้มาทำการยึดไปใช้หนี้...แต่ถ้าสืบไม่เจอ หรือสืบแล้วพบว่าไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย...ก็ทำอะไรไม่ได้
         และเมื่อระยะเวลาในการ"แขวนหนี้ 10 ปี"นี้...ผ่านพ้นไปแล้ว (10 ปีนี้ ให้เริ่มนับจากวันที่ถูกศาลพิพากษา เป็นต้นไป) เจ้าหนี้ก็จะหมดอายุความในการอายัดทันที (จะมาอายัดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือน ที่เพิ่งจะมารู้หรือเพิ่งมาเจอ ภายหลังจาก 10 ปีผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ได้อีกต่อไป) ลูกหนี้หรือจำเลย ก็จะเป็น "ไท" ในทันที ไม่ต้องมาชดใช้หนี้สินที่เหลืออยู่อีกต่อไป

แท็กซ์: แบล็คลิสต์,ติดแบล็คลิสต์,ชำระหนี้ติดแบล็คลิสต์,ใช้หนี้,ลูกหนี้,หนีหนี้,หนี้หมดอายุความ,ประนอมหนี้,กรมบังคับคดี,หนี้,เป็นหนี้


วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์

วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์
วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์
      วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์
       วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์ ง่ายๆ ครับ ก็คือ ....จ่ายหนี้หมดตามกำหนด แค่นั้นเอง (ที่ตอบสั้นๆ แบบนี้ ไม่ได้คิดจะกวน...แต่ประการใด)  ความจริงก็มีแค่นั้น เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้ครับ แล้วก็มีข้อแนะนำสำหรับคนที่มีหนี้บัตรเครดิตหลายๆ ใบ ง่ายๆ คือ
    -เช็คบัตรเครดิตของตัวเองว่ามีกี่ใบ เป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ อยู่กี่ใบ ต้องจ่ายใบไหนจำนวนเท่าไหร่ จดมาเป็นรายการเพื่อเปรียบเทียบ
    -เช็คค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย ของบัตรแต่ละใบที่เป็นหนี้ และจดเพื่อเปรียบเทียบว่าควรจะชำระหนี้ของบัตรใบไหนก่อน
    -ลองโทรศัพท์เพื่อเจรจาต่อรอง เรื่องของดอกเบี้ยบัตรเครดิต ของธนาคารนั้นๆ อาจจะไม่สำเร็จทุกธนาคารไปแต่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ถ้าสำเร็จก็จะลดภาระของเราลง
    -ชำระหนี้ ซึ่งแน่นอนต้องเป็นบัตรที่มีดอกเบี้ยสูํง อยู่แล้วแต่ ควรต้องจ่ายให้มากกว่าขั้นต่ำมากๆ นะเพื่อให้บัตรหมดไวที่สุด แต่ต้องอย่าลืมจ่ายเบี้ยของบัตรที่ตอกเบี้ยต่ำกว่าด้วยนะ อาจชำระที่ขั้นต่ำก็ได้ ไม่งั้นโดนค่าปรับได้ (ย้ำนะครับว่าต้องชำระหนี้ของบัตรที่ดอกเบี้ยสูง โดยผ่อนให้มากกว่าขั้นต่ำ ส่วนบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าให้ผ่อนแค่ขั้นต่ำก็พอ พอบัตรที่ดอกเบี้ยสูงหมดแล้ว ก็เริ่มผ่อนจำนวณมากๆ กับบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำ) ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่นานนักก็จะหมดนี้บัตรเครดิตได้ครับ หรืออาจใช้บริการโอนหนี้บัตรเครดิต ซึ่งก็มีอยู่หลายธนาคาร เพื่อรวมหนี้บัตรเครดิตทั้งให้เหลือเพียงที่เดียว ซึ่งอาจจะได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าได้ แต่ต้องศึกษารายละเอียดค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยต่างๆ ก่อนนะครับ
    ห้ามนะครับ ถ้าอยากปลดหนี้ก็อย่าหาหนี้มาใส่ตัวอีกนะครับ เพราะไม่งั้นคงจะแก้ปัญหากันไม่จบอย่างแน่นอน
    ชำระหนี้ : การชำระหนี้บัตรเครดิตนั้น ทางธนาคารจะนำยอดที่ชำระหนี้ไปชำระดอกเบี้ยบัตรเครดิตก่อน แล้วที่เหลือจึงนำไปชำระเงินต้น และแน่นอนว่าเงินต้น คือเงินที่จะนำมาใช้ในการคิดดอกเบี้ย ดังนั้นวิธีการที่ดีก็คือ ต้องชำระหนี้บัตรเครดิตให้มากกว่าขั้นต่ำ เพื่อให้เงินที่เหลือเพื่อไปชำระเงินต้นมากขึ้น ทำให้เงินต้นลดลงและดอกเบี้ยที่เกิดมาใหม่นั้นจะลดลงด้วย ซึ่งถ้ามัวแต่ชำระขั้นต่ำนั้น รับรองว่ากว่าจะหมดหนี้นั้นนานมากอย่างแน่นอน

แท็กซ์: วิธีปลดหนี้แบล็คลิสต์,หนี้แบล็คลิสต์,แบล็คลิสต์,ชำระหนี้แบล็คลิสต์

ติดแบล็คลิสต์...อยากกู้เงินซื้อรถยนต์ จะผ่านหรือไม่

ติดแบล็คลิสต์...อยากกู้เงินซื้อรถ  จะผ่านหรือไม่

ติดแบล็คลิสต์...อยากกู้เงินซื้อรถ  จะผ่านหรือไม่

ติดแบล็คลิสต์...อยากกู้เงินซื้อรถ  จะผ่านหรือไม่
      กับคำถามที่ถามกันบ่อยๆ และสงสัยกันมาก ว่า หากติดแบล็คลิสต์ อยากจะกู้เงินกับสถาบันการเงินต่างๆ มีโอกาสที่สถาบันการเงินนั้นๆ อนุมัติสินเชื่อ ปล่อยสินเชื่อให้กับเราหรือไม่ สำหรับคนที่มีสถานะเครดิตบูโรโชว์ โดยที่มียอดค้างชำระหนี้ ไม่ได้ชำระหนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานมาก (เกิน300วัน) ซึ่งก็คงทราบกันทั่วหน้าว่าเองติดแบล็คลิสต์แล้ว แต่ถ้าหากมีความต้องการที่จะกู้ซื้อรถ มันก็มีประเด็นสงสัยกันว่า ถ้ากู้ซื้อรถยนต์สภาพใหม่ (กู้ซื้อรถรถยนต์ใหม่) เรามีโอกาสที่แบงค์ต่างๆ จะอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้กู้ที่ติดแบล็คลิสต์หรือไม่
     ประเด็นติดแบล็คลิสต์กู้ซื้อรถยนต์ได้ไหม ถ้าคุณต้องการวงเงินกู้ซื้อรถที่สูงนั้นความเป็นไปได้ที่วงเงินจะอนุมัตินั้นน้อยมากๆ กลับกันถ้ากู้ซื้อรถในวงเงินที่ไม่สูงมากนักโอกาสที่จะอนุมัติวงเงินก็จะมีความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้นกว่าการกู้ซื้อรถวงเงินสูงหรือกู้ซื้อรถเต็มวงเงิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ซื้อรถและที่สำคัญนั้นจะต้องมีผู้ค้ำประกันรถยนต์ที่มีประวัติเครดิตบูโรที่ดี มีอาชีการงานที่มั่นคง มีรายได้ชัดเจนต่อเดือนสม่ำเสมอ เป็นผู้ค้ำประกันกู้ซื้อรถในครั้งนี้ด้วยเพื่อที่จะให้สถาบันการเงินเกิดความน่าเชื่อถือว่าปล่อยกู้ซื้อรถให้แล้วนั้นจะไม่กลายเป็นหนี้เสีย(หนี้สูญ) จนมีเหตุการณ์จะต้องตามยึดรถเกิดขึ้น  สรุปให้เห็นแบบชัดเจนเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
    -ติดแบล็คลิสต์ต้องการกู้ซื้อรถยนต์ด้วยตัวคนเดียว โอกาสอนุมัติเกือบเท่ากับศูนย์
    -ติดแบล็คลิสต์ต้องการกู้ซื้อรถยนต์มีผู้ค้ำประกันรถประวัติเครดิตบูโรสถานะดี มีโอกาสอนุมัติเงินกู้ซื้อรถเป็นไปได้
    -ติดแบล็คลิสต์รถยนต์ต้องการกู้ซื้อรถยนต์ โอกาสอนุมัติเงินกู้ซื้อรถนั้นค่อนข้างที่จะเป็นไปไม่ได้
    -ติดแบล็คลิสต์บัตรเครดิตต้องการกู้ซื้อรถยนต์ โอกาสอนุมัติเงินกู้ซื้อรถมีความเป็นไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติผู้กู้ซื้อรถเป็นหลักว่าติดแบล็คลิสต์บัตรเครดิตในลักษณะใด เช่น ประนอมหนี้ผ่อนจนครบหรือยังผ่อนชำระอยู่ / ประนอมหนี้และชำระหนี้ในครั้งเดียวหมด เป็นต้น อย่างไรก็ตามต้องมีผู้ค้ำประกันรถที่สถานะแสดงเครดิตบูโรที่ดี อาชีพการงานมั่นคง รายได้แน่นอนทุกเดือน

    หมายเหตุ ติดแบล็คลิสต์  อยากกู้เงินซื้อรถมีความเป็นไปได้ ตามรายละเอียดเบื้องต้นที่กล่าวมา ทั้งนี้การกู้ซื้อรถนั้นการอนุมัติวงเงินกู้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางสถาบันการเงินเป็นผู้กำหนด
      
แท็กซ์: ติดแบล็คลิสต์อยากกู้เงินซื้อรถ  จะผ่านหรือไม่,ติดแบล็คลิสต์อยากกู้เงินซื้อรถยนต์,สินเชื่อรถยนต์,แบล็คลิสต์,ติดแบล็คลิสต์,กู้เงิน,สถาบันการเงิน,เครดิตบูโร,ประวัติเครดิตบูโร,ติดแบล็คลิสต์กู้ซื้อรถ